ถ้าผมจะบอกว่าปุ๋ยที่ใช้ในไฮโดรโพนิกส์มีอยู่ 2 แบบคือ
1.แบบที่มีแอมโมเนี่ยม
2.แบบที่ไม่มีแอมโมเนี่ยม
ถ้าคุณใช้ปุ๋ยแบบที่มีแอมโมเนี่ยมในการปลูกผักก็จะมีข้อดีและข้อเสียแตกต่าง กันข้อดีก็คือถ้าคุณปลูกผักในระบบ NFT(ระบบ NFT ที่ถูกต้องควรมีน้ำไม่ต่ำกว่า 0.5 ลิตรต่อ 1 ต้น แต่ที่ทำ กันส่วนมากจะมีน้ำน้อยกว่า 0.5 ลิตรต่อ 1 ต้น ทำให้เมื่อระบบเริ่มเก่าจะมีปัญหามากขึ้น)ในช่วงที่อากาศเย็นผักจะโตดีกว่าการปลูกด้วยปุ๋ยที่ไม่มีแอมโมเนี่ยมแต่ถ้าอากาศร้อนผักจะเกิดอาการรากเน่าได้ง่าย ถ้าใช้ ปุ๋ยที่มีแอมโมเนี่ยมในระบบ DRFT ที่เป็นระบบมาตรฐาน (ระบบที่มาตรฐานจะปลูกผักสลัดได้โต๊ะละประมาณ 400 ต้นแล้วมีน้ำอยู่ในระบบประมาณ 800 ลิตร เท่ากับมี ้น้ำ 2 ลิตรต่อ1 ต้น)ิ ถ้าอากาศเย็นก็จะปลูกผักได้ดีถ้า ีอากาศร้อนก็จะปลูกได้ค่อนข้างดี(ถ้าไม่เกิดโรคทางใบเสียก่อน)บางท่านอาจจะสงสัยว่าหน้าร้อนทำไม่จึงปลูกได้ค่อนข้างดีเพราะเมื่อผักดูดแอมโมเนี่ยมเขาไปแล้วผักจะปล่อยกรดออกมา ในระบบ DRFT มีน้ำอยู่จำนวนมาก เมื่อผักปล่อยกรดออกมากรดก็จะเจือจางผักไม่สามารถปล่อยกรดออกมามากจนทำให้ pHข องน้ำลดลงได้เร็วหรือ ได้มาก เพราะในระบบมีน้ำิจำนวนมากทำให้รากไม่ถูก กรดลวก รากก็เลยไม่ค่อยเสียแต่ถ้าเป็นระบบ NFT ซึ่งมีน้ำน้อย เมื่อผักปล่อยกรดออกมามันจะทำให้ pH ลดลงได้เร็ว และมากรากก็จะถูกกรดลวก วิธีแก้ของ NFT ก็คือเพิ่มปริมาณน้ำให้มากแต่ไม่ค่อยมีใครทำระบบ NFT ถ้าเราเพิ่มน้ำให้เท่าระบบ DRFTจะทำให้ปลูกผักได้ง่าย มาก ขึ้น และใช้ปุ๋ยได้ทั้งสองอย่างแต่ระบบ DRFT ก็มี ข้อเสียที่การถ่ายเทอากาศไม่ดีเวลาเกิดโรคและแมลงรบกวนจะจัดการได้ยากกว่าเพราะฉนั้นท่านที่ปลูกผักด้วยระบบ DRFT มีข้อได้เปรียบคือใช้ปุ๋ยอะไรก็ได้แต่ท่าน ต้องระวังเรื่องโรคและแมลงให้ดีโรคที่เกิดส่วนมากจะเกิดจากเชื้อราเพราะในระบบจะร้อนชื้นการใช้ไตรโคเดอร์มาใส่ลงไปในระบบและฉีดพ้นบ่อยๆจะเป็นผลดี ทำให้ เชื้อราที่ก่อโรคลดจำนวนลงและควรหมั่นล้างทำความสอาดเครื่องมือเครื่องใช้และโต๊ะปลูกให้สอาด สวนใน ระบบ NFTิ จะถ่ายเทอากาศได้ดีกว่าเวลาโรคและแมลง ระบ เาดก็จัดการได้ง่ายกว่า
ที่มา : อาจารย์อรรถพร สุบุญสันต์
หน้าที่เข้าชม | 878,195 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 342,473 ครั้ง |
เปิดร้าน | 11 ก.ค. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 27 ก.ย. 2568 |